เทศน์พระ

ผิดคิว

๒o ม.ค. ๒๕๕๘

 

ผิดคิว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูหัวใจของเรานะ หัวใจของเราๆ เป็นเจ้าของ เวลาหลวงตาท่านเทศน์บ่อยมาก หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลือแล้วใครจะช่วยเหลือใคร เราจะให้ใครมาช่วยเหลือหัวใจของเรา หัวใจของเราเราต้องช่วยเหลือหัวใจของเราเอง ฉะนั้น เราฟังธรรมๆ เพื่อเห็นไหม ให้มีเครื่องอยู่ ฟังธรรมเป็นเครื่องอยู่มันได้สะกิดใจไง มันได้คติธรรม

เวลาฟังธรรมๆ มันได้ชวนคิด ให้มีที่พึ่งที่อาศัย เพราะเราคิดเองไม่เป็น เหมือนทารกเลย เวลาเกิดมาใหม่ๆ เห็นไหม พ่อแม่ต้องป้อนอาหาร พ่อแม่ป้อนอาหาร เวลามันยังไม่กินนะ พ่อแม่ต้องอ้อนวอนให้กินอาหาร พ่อแม่อ้อนวอนให้กิน นี่ก็เหมือนกัน เราจะฟังธรรมของเราไง เราจะมีสัจธรรมในหัวใจของเราไง ถ้าเรามีสัจธรรมในหัวใจของเราเห็นไหม มันมีสำนึก แล้วคนมีสำนึกมันจะมีสติ ถ้ามีสติจะทำสิ่งใดมันจะเป็นธรรม

ถ้ามันไม่มีสติเห็นไหม มันสักแต่ว่าทำ ถ้าสักแต่ว่าทำเราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมไง ทำเหมือนเขา เลียนแบบเขา เลียนแบบเขาก๊อบปี้เขามา จะทำให้เหมือนน่ะมันไม่เหมือนหรอก ถึงเหมือนขึ้นมาก็เป็นของเขา ไม่ใช่ของเราไง เราไปดูงานเห็นไหม ดูสิเขาไปดูงานกัน เขาไปดูงาน เขาไปดูสิ่งใด ได้อิทธิพลสิ่งใดมา เขามาฝึกหัดๆ จนเป็นงานของเราเอง

ถ้าฝึกหัดเป็นงานของเราเองเห็นไหม ฟังธรรมๆ ก็เหมือนกัน จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ จากใจของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านแสดงออกมาจากใจของท่าน แล้วเราเนี่ยเราเอาสิ่งนี้มาเป็นคติ เป็นคติเห็นไหม แล้วพยายามฝึกหัดของเรา ไม่ต้องให้เหมือน ไม่ต้องให้เหมือน ไม่ต้องให้จะเป็นอย่างนั้น เราไม่ต้องการจะเป็นอย่างนั้น เราต้องการเป็นสมบัติของเราไง เราไม่ต้องการเงินของคนอื่น เราต้องการเงินของเรา ถ้าสติก็ต้องเป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา แล้วถ้าเกิดปัญญาของเราขึ้นมาเองเห็นไหม ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาโดยการฝึกฝน ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดยลอยมาจากฟ้า ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน

การฝึกฝนเห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันเกิดจากสุตมยปัญญานี่แหละ เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนนี่แหละ การศึกษาเล่าเรียนแล้ว ศึกษาเล่าเรียนแล้วมาไตร่ตรอง มาคิด มาจินตนาการเห็นไหม จินตมยปัญญา จินตมยปัญญาถ้ามีสมาธิขึ้นมามันจะเป็นสมบัติของเรา มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาของเราแล้วมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกเลย มันเกิดขึ้นมามันดับกิเลสได้ มันดับกิเลสได้ มันถอดถอนกิเลสได้ มันชำระล้างกิเลสได้ มันฆ่ากิเลสได้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงว่าทำแล้วมันจะไม่เหมือน ทำแล้วมันจะไม่ดี ความดีอันนั้นมันยืนยันอยู่แล้ว ความดีใครจะดีเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอกนามกึง หนึ่งไม่มีสอง ในพุทธศาสนานี้ใครแสดงธรรมก็แล้วแต่ ธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปรื้อค้นขึ้นมา เป็นเจ้าของธรรมๆ เห็นไหม เราเป็นเจ้าของสวนมะม่วง เราห้ามคนอื่นได้ แต่เราจะเด็ดกินเมื่อไรก็ได้ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เพราะว่าพระพุทธเจ้าไปรื้อค้นขึ้นมา เราก็จะปลูกของเรา เราจะดูแลไร่สวนของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา ถ้าดูแลหัวใจของเรา ทำของเราให้เป็นจริงนะ

เป็นจริงขึ้นมาน่ะฝึกฝน ทำสิ่งใดให้มันเป็นปัจจุบัน ทำสิ่งใดให้มีสติสัมปชัญญะ อย่ารีบอย่าด่วน อย่าคิดว่าเราจะทำอย่างนั้นแล้วจะได้ผลๆ นั้นมันเป็นการแสดงเห็นไหม การแสดงทางโลกเขา เวลาเขาจะเล่นบทสิ่งใดแล้วแต่มันต้องมีคิวของเขา ยิ่งบทบู้เขาจะมีคิวของเขา แล้วถ้าเขาต้องฝึกซ้อมๆ ไม่ให้ผิดคิวนะ ถ้าผิดคิวขึ้นมาสิ่งที่การแสดงนั้นใช้ไม่ได้ ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วถ้ามันผิดคิวขึ้นมา มันมีถึงการอาการบาดเจ็บ มันผิดคิวไง มันผิดคิวเพราะเราไปเลียนแบบไง เราอยากให้เหมือน อยากให้เป็น อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากเป็นนักแสดง นักแสดงเวลาผิดคิวขึ้นมามันมีปัญหาไปหมดเลย

แต่ของเรา เราทำของเราให้เป็นความจริง ไม่มีคิว ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีที่มาที่ไป แต่เวลาทำขึ้นมาให้เป็นปัจจุบันๆ แล้วเวลาสุตมยปัญญาไม่มีที่มาที่ไปได้ยังไง สองพันกว่าปีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม สองพันกว่าปียังสดๆ ร้อนๆ อยู่ สดๆ ร้อนๆ อยู่ต่อเมื่อเราทำขึ้นมา เราหุงหาอาหารถ้ามันสดๆ ร้อนๆ น่ะ มันมีรสชาติ เวลามันจืดมันชืด เวลาเก็บไว้มันจืดมันชืดแล้วมันสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ ที่การกระทำนี้ สดๆ ร้อนๆ เห็นไหม สดๆ ร้อนๆ เพราะมันทำ ถ้ามีสติมีปัญญาสดๆ ร้อนๆ ของเรา ถ้ามันสดๆ ร้อนๆ เห็นไหม มันไม่ใช่คิวแล้ว

ถ้าเขาผิดคิวของเขา เขามีที่มาที่ไปนะ เขาต้องมีผู้กำกับ เขามีผู้อยู่เบื้องหลัง เขาต้อง ฝึกหัด ฝึกซ้อมกันๆ นั้นเป็นการแสดง มันไม่เป็นความจริง นี่เห็นไหม ถ้ามันผิดคิวขึ้นมามีปัญหาทันทีเลย ต้องเริ่มต้นใหม่ๆ เห็นไหม เริ่มต้นใหม่ เขาก็เป็นงานแสดงของเขา ทำเพื่อประโยชน์ของเขา ไอ้นี่ของเรา เราไม่ใช่การแสดงนะ เราเอาจริงของเรานะ เราปฏิบัติของเรา เอาความจริงขึ้นมา แต่ทำไมต้องฟังธรรมล่ะ

“การฟังธรรม” หลวงตาท่านบอกว่า “มันเป็นการประพฤติปฏิบัติกรรมฐาน สิ่งที่ฟังเทศน์ๆ สำคัญที่สุด แล้วอีกอย่างหนึ่งก็นั่งสมาธิตลอดรุ่ง” เวลาฟังเทศน์ เวลาใครแสดงธรรมออกมา มันบอกถึงจิตใต้สำนึกเลย มันจะมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง ถ้ามีอยู่จริงเห็นไหม แสดงธรรมมาสดๆ ร้อนๆ ตลอด พูดออกมาเมื่อไรมันก็เป็นธรรมเมื่อนั้น เพราะใจมันเป็นธรรม แต่ถ้ามันไม่มีเห็นไหม มันไม่มีนี่มันเป็นสัญญาทั้งนั้น สัญญาเวลาจำมา เวลามันพูดมามันขัดแย้งกัน มันขัดแย้ง เอาหน้าก่อน เอาหลังก่อน มันขึ้นหน้าขึ้นหลัง มันไม่ไปเป็นสัจจะเป็นความจริงไง

แต่ถ้าเราสัจจะความจริง เราทำความสงบใจของเรามาให้ได้ เราตั้งใจของเรา เราทำความสงบใจของเราเข้ามา ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่เกิดปัญญา ไม่ห่วงว่าเราจะไม่พ้นจากทุกข์ ไอ้นี่พอเราจะพ้นจากทุกข์มันผิดคิวไง พอมันผิดคิวขึ้นมาก็ล้มลุกคลุกคลานเลย ผิดคิวขึ้นมาเวลาปฏิบัติไปก็ไม่ได้ผลสิ่งใดเลย เวลาปฏิบัติเห็นไหม เริ่มต้น เพราะอะไร เพราะกิเลสมันหลอก มันหลอกว่าทำอย่างนี้ๆ แล้วจะได้ผลอย่างนี้ ทำอย่างนี้ๆ แล้วเราศึกษาธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้ามา ท่านก็บอกอย่างนั้นจริงๆ นะ

เวลาศึกษาธรรมมาเห็นไหม ศึกษามันเป็นสุตมยปัญญา เป็นธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มต้นตั้งแต่ประพฤติปฏิบัติเลย แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการในพระไตรปิฎก ท่านเทศนาว่าการกับใคร แล้วเทศนาว่าการกับคฤหัสถ์เห็นไหม ผู้ที่เขาอยู่นอกศาสนา เวลาเผยแผ่ธรรมเพื่อให้เขาเชื่อให้เขาศรัทธาของเขา พูดธรรมะในระดับของทาน เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเริ่มต้นใหม่เห็นไหม ก็ให้ฝึกสติไว้

แต่เวลาพูดกับผู้ที่ปฏิบัติ ดูสิพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ไปฟังธรรมพระอัสสชิได้เป็นพระโสดาบันมา พอเป็นพระโสดาบันแล้วถึงจะชวนสัญชัยมาด้วย สัญชัยไม่มาเห็นไหม ถึงมากันเอง เป็นพระโสดาบัน เวลาเข้ามาขอเอหิภิกขุ ขอบวช บวชเสร็จแล้วถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนด้วย เวลาเทศน์สอนใคร สอนคนที่มีคุณธรรมในหัวใจธรรมะมันก็ละเอียดลึกซึ้ง สอนคนผู้ที่ฝึกหัดเริ่มต้นก็ต้องให้เขามีความมั่นคงในใจเขาก่อน

เราไปอ่านธรรมะ อ่านพระไตรปิฎก เราอ่านไปแล้วมันก็อยู่ที่วุฒิภาวะของเรา ถ้าเราเริ่มต้นเราพื้นฐานของเรา เราไปเจอสิ่งที่ว่ามันมหัศจรรย์ มันว่ามันมหัศจรรย์ แล้วเวลาอ่านไป ไปเจอที่ว่าเราพูดถึงสอนพระอนาคามีอย่างนี้ พระอนาคามียังมีกิเลสอย่างไรบ้าง ยังติดอะไรอยู่บ้าง เราไปศึกษาเราก็สนใจ พระอนาคามีมีกิเลสอะไรบ้าง มีกิเลสอยากให้เขารับรู้ อยากให้เขายอมรับ นี่กิเลสของพระอนาคา เราไปอ่าน เราไปศึกษา เราไปศึกษาอย่างนั้นแล้วพื้นฐานล่ะ แล้วเราจะขึ้นต้นมายังไง

นี่ไง เวลาเราไปอ่านเห็นไหม เราไปอ่านพระไตรปิฎก อ่านแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสนทนากับใคร เทศนาว่าการกับใคร ถ้าเทศนาว่าการกับใคร เขามีพื้นฐานยังไง ฉะนั้นเวลาท่านสื่อความหมายกัน ท่านเข้าใจได้ แต่ของเราเราอ่านแล้วเราเข้าใจได้ เราอ่านออก แต่เราไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้เหตุผลหรอก ไม่รู้หรอกว่ามันมีเหตุมีผลยังไง เห็นไหม ผิดคิว พอมันผิดคิวน่ะมันล้มลุกคลุกคลานไปหมด ไม่เป็นความจริงเลย ถ้าผิดคิวทางโลกเขา ผิดคิวแล้วเขาจะไม่มี เขาต้องเริ่มต้นใหม่ เขาต้องทำของเขาใหม่

แต่ถ้าชีวิตของเราล่ะ ชีวิตของเราเห็นไหม มันต้องดำเนินไป ชีวิตของคนนะ เริ่มต้นต้องดำเนินไป เวลาเกิดมา เกิดมาน่ะพ่อแม่เลี้ยงดูมา นี่ให้การศึกษามา ศึกษามาแล้วเขาต้องมีหน้าที่การงานของเขา ถ้าเติบโตขึ้นไปเขาจะมีครอบครัวของเขา มันมีคิวไหม มันเป็นไปตามกรรมไง สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันพาเวียนว่ายตายเกิด แล้วพอเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา นั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เวลาอารมณ์มันเกิดเห็นไหม พอบอกว่าความเกิดดับๆ เวลาเกิดภพๆ ชาติหนึ่ง ความรู้สึกเกิด แล้วความรู้สึกก็ดับไป แล้วภพชาติหนึ่งเห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญา แต่ถ้าสติเราตามทันเห็นไหม นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาความคิดเกิดขึ้นมาแล้วมีสติปัญญาไล่ความคิดนั้นไป ถ้าไล่ความคิดนั้นไป เวลามันปล่อยวางไง ปล่อยวาง มันเป็นสมาธิ มันเป็นความว่าง ความว่างชั่วคราว เราก็ต้องใช้ปัญญาต่อเนื่องไป เวลาต่อเนื่องไป การกระทำแบบนั้นน่ะ เราฝึกหัดของเรา มันเป็นปัญญาของเรา มันเป็นประสบการณ์ความจริงของเรา

ถ้าประสบการณ์ความจริงของเรา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา มันเป็นภพชาติหรือเปล่า ถึงบอกว่าถ้ามันผิดคิวเห็นไหม ผิดคิวนี้เป็นเรื่องของการแสดง เรื่องของธุรกิจของเขา เขาทำของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา หน้าที่การงานของเขา เขาทำมีคิวของเขา

เราก็เหมือนกัน เรามีนัดมีหมายเราก็มีคิวเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เราติดต่อราชการเห็นไหม ต้องเอาบัตรคิวก่อน ถ้าใครได้ก่อนก็ไปขอบัตรคิวก่อน แล้วเขาจะได้พบหมอก่อน เราไปติดต่อธุรกิจสิ่งใดเราไปขอบัตรคิวก่อน นั่นมันบัตรคิวเพราะคนมันเยอะ คนมันมีมากขึ้นไป แต่เวลาความคิดมันเกิดขึ้นมามันมีคิวของมันไหม เราจะให้นี้เกิดก่อน ไอ้นี่เกิดหลัง ไอ้นี่ตามลำดับมา เพราะเราศึกษามาในพระไตรปิฎก มันเป็นอย่างนั้นไหม

มันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมันจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาถ้ามีมรรคมีผลขึ้นมา มันก็คนละชนิดเห็นไหม พระอรหันต์คนละประเภท เตวิชโช ฉฬภิญโญ พระอรหันต์แต่ละประเภทแต่ละประเภท ประเภทยังไงล่ะ เพราะคุณสมบัติของเขา ความเป็นจริงของเขา ถ้าความเป็นจริงของเขา เขาทำอย่างนั้นขึ้นมาก็เป็นประโยชน์ของเขาเห็นไหม มันเป็นไปโดยสัจจะความจริง มันเป็นสัจจะความจริง

ถ้าเราต้องการความจริง โดยพื้นฐานเราทำความสงบของใจเรามาให้ได้ เราจะมีจริตนิสัยขนาดไหน เราจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหน อำนาจวาสนานี้ถ้าเราทำความจริงขึ้นมาแล้วเห็นไหม จิตกลั่นมาจากอริยสัจ ถ้าใจของเรามีความสงบเข้ามา แล้วถ้าเรารื้อค้นของเรา เราเห็นสมุทัยของเรา เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ เราจะละกิเลส เราจะละสมุทัยตัณหาความทะยานอยากที่มันซ่องสุมอยู่ในหัวใจของเรา เราจะพิจารณามัน

ถ้าพิจารณามัน แยกแยะมัน แก้ไขมัน เวลาชำระล้างมันออกไป การชำระล้างอย่างนี้ชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วผลของมันที่ว่าประเภทไหน ประเภทไหนมันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน เวลาประเภทไหนเราไม่ต้องไปห่วงว่าเราอยากจะเป็นประเภทนั้น เราอยากจะเป็นประเภทนั้น เราเลือกของเราเองด้วยความพอใจของเรา แต่พื้นฐานในหัวใจของเราที่มันสร้างมามันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกันจริตนิสัยมันแตกต่างกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่อริยสัจอันเดียวกัน อันเดียวกันนะ

เราต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา ไม่งั้นเราจะเข้าข้างตัวเองเห็นไหม เราจะเรียงคิว เราจะเอาตามคิวของเรา เราชอบอย่างนี้ เราชอบอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ เราเพื่อต้องการให้ได้อย่างนี้ ต้องการให้ได้ของเรา มันเป็นการคาดหมาย ผู้ใดปฏิบัติสมควรแก่ธรรม นี้การคาดการหมายมันไม่สมควรแก่ธรรม เพราะปฏิบัติธรรมไปด้วยการคาดการหมายการด้นการเดา การด้นการเดาเพราะเราแรงปรารถนาไง เวลาปรารถนานี่เราปรารถนาพ้นทุกข์ เราปรารถนาจะสิ้นสุดแห่งทุกข์เห็นไหม แล้วเราทำของเราอย่างนี้ๆ แรงปรารถนายังผิดคิวไหม แรงปรารถนาคือเป้าหมายไง อธิษฐานบารมี

คนเรามันมีเป้าหมายของเขา ถ้าเขามีเป้าหมายของเขา แล้วเขาพยายามทำหน้าที่การงานของเขาเข้าสู่เป้าหมายนั้น อันนี้มันไม่ผิดคิว เพราะความเข้าสู่เป้าหมายไง แต่เวลาเราทำงานของเรา เราเรียงเองไง เราเรียงลำดับของเราเอง นี่เป็นคิว ถ้าเรียงลำดับของเราไปเอง ถ้าเราเรียงลำดับของเราแล้วให้เป็นตามความปรารถนาของเรา ทีนี้กิเลสมันก็จัดรูปแบบให้ แล้วเราปฏิบัติตามรูปแบบนั้น ถ้ามันทำด้วยความพอใจ เราภูมิใจ เพราะเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะเรียงคิวทำอย่างนี้ แล้วปฏิบัติแล้วมันตามเป้าหมายนั้น แล้วสมบูรณ์อย่างนั้น แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ มันเป็นอดีตอนาคต ไม่เป็นปัจจุบันไง

เพราะเวลาถ้ามันเป็นสมาธิเห็นไหม คนทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้ว เห็นไหม เจริญแล้วเสื่อม เวลามันเสื่อมไปมันเป็นคิวไหม ถ้ามันผิดคิวเจริญแล้วเสื่อมเพราะกิเลสมันรู้ทันไง เพราะกิเลสมันรู้ทันว่าเราจะทำอะไร เราจะทำอย่างไร มันดักหน้าเลย มันทำให้เสร็จเลย แล้วเราทำมาว่าจะให้เป็นอย่างนั้นๆ ก็เป็นโดยกิเลสไง กิเลสมันจัดสรรให้ กิเลสมันทำให้ ธรรมะจัดสรรไม่ใช่กิเลสจัดสรร ถ้ากิเลสจัดสรรนี่ๆ ผิดคิว กิเลสมันจัดสรรมันผิดคิวไปหมดเลย

แต่ถ้ามันถูกล่ะ ถ้ามันถูกเห็นไหม เราทำความสงบของใจเราเข้ามา เราตั้งสติของเรา เราตั้งสตินะ กำหนดพุทโธก็ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ทำความสงบของใจ เวลาใช้ปัญญาๆ เห็นไหม บอกแล้วเมื่อไหร่จะใช้ปัญญา ปัญญามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เวลาตรึกในธรรมมันมีคุณประโยชน์ทั้งนั้น มันทำให้เราเกิดปัญญา เกิดความคิดที่กว้างขวาง ความคิดมันกว้างขวางนะ แล้วพอมีปัญญาเห็นไหม จิตใจมันเปิดกว้างขวาง มันเจอสิ่งใด อารมณ์กระทบเราสามารถเคลียร์ได้ แล้วเวลาสนทนากับใคร ใครเขาให้ข้อมูลกับเรา เราฟัง เราไม่เชื่อ เราฟังแล้วเราพิจารณา เพราะเรามีปัญญาไง

แต่ถ้ามันไม่มีปัญญาเห็นไหม มันไม่กว้างขวาง มันคับแคบ ฟังสิ่งใดมาแล้วมันก็อึดอัดขัดข้อง อึดอัดในหัวใจ หัวใจนี้มันอึดอัดขัดข้องไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะไม่ได้ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ถ้าปัญญาเห็นไหม ปัญญาที่ว่าโลกียปัญญา ปัญญาที่เราฝึกหัดให้หัวใจเราได้บริหารจัดการอย่างนี้ เวลาความคิดมันเกิด ปัญญามันเกิด เราควบคุมปัญญาของเรา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร เวลามันเจอสิ่งใด สิ่งใดกระทบกับเรา อารมณ์กระทบกับเรา สิ่งใดกระทบกับเรา เราใช้ธรรมะแยกแยะได้ เราวางได้ เห็นไหม นี่ผลของโลกียปัญญา

แล้วเวลาเราปัญญาอบรมสมาธิล่ะ ปัญญาที่มันแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกภายในใจเลย ถ้ามันปล่อยวางได้ มันปล่อยเลยนะ พอรู้เท่ามันเก้อๆ เขินๆ เลย ทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราคิดอย่างนี้ ทำไมสิ่งนี้มันเกิดดับแล้วเราก็ยังไม่รู้เท่าทันมัน พอรู้เท่ามันก็ปล่อย นี่เป็นสมาธิ เห็นไหม

โลกียปัญญาปัญญาจากเริ่มต้น ปัญญาจากตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเอามาแยกแยะ เราศึกษามาเห็นไหม ปัญญาอย่างนี้มันรู้เท่าความคิด พอรู้เท่าความคิดมันก็ไม่เป็นเหยื่อของคนอื่น มันเท่าทันโลกๆ คือว่าปัญญาที่เราผ่านอายตนะ ปัญญาที่เราสื่อสารกันน่ะ ปัญญาที่เราต้องสัมพันธ์กับมนุษย์ เราต้องสัมพันธ์ในสังคม มันรู้เท่าทัน นี่โลกียปัญญา

แล้วถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันรู้เท่าทันความคิด ความคิด เวลามันปล่อยความคิดออกมา มันปล่อยความคิดมันก็เป็นสมาธิ แล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต พอจิตเห็นอาการของจิต มันใช้ปัญญาไปแล้วนี่วิปัสสนา ปัญญาที่มันจะถอดมันจะถอนปัญญาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม ปัญญามันใช้ได้ แต่เวลาใช้ปัญญาขึ้นไปแล้วปัญญานี้มันเป็นปัญญาในระดับไหน ปัญญาของเราปัญญาระดับไหน ปัญญาที่มีคุณสมบัติของมันมีระดับไหน แล้วมันได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน นี่การใช้ปัญญา

พอบอกว่าปัญญา ปัญญาก็มีดเล่มเดียว จะทำครัวทุกอย่างด้วยมีดเล่มเดียว ในครัวมันมีมีดเล่มเล็กเล่มใหญ่ มันมีมีดหลายชนิด มีเครื่องครัวมากมายมหาศาล นี่ก็เหมือนกัน เราบอกว่าปัญญาๆ มันหลากหลายนัก เวลาเราทำสมาธิเห็นไหม นี่น้ำล้นแก้ว จะทำสมาธิ สมาธิก็คือสมาธิ สมาธิเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว ความพร้อม เตรียมความพร้อมของเรา คนจะทำงานต้องมีความฟิต คนทำงานต้องมีความสดชื่น คนจะทำงานต้องมีความตื่นตัว เราเตรียมหัวใจของเรา

แต่นี่โดยปกติกิเลสมันครอบงำ เวลาเราใช้ความคิดโดยสามัญสำนึกของเรากิเลสมันครอบงำอยู่นี่ อวิชชาความไม่รู้มันฝังอยู่ในใจ ทำสิ่งใดมันก็เลอะๆ เลือนๆ ทำสิ่งใดมันก็พลั้งๆ เผลอๆ ทำสิ่งใดเห็นไหม แต่ความคิดทำงานไป ทำงานไปของมันนี่โดยอวิชชา เราพุทโธๆๆ นี่จิตมันสงบมันปล่อยวางเข้ามา มันจะสดชื่นของมัน มันจะมีความเตรียมพร้อมของมันเห็นไหม เตรียมพร้อมของมัน สดชื่นของมัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา

ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ปัญญามันแตกต่างหลากหลายเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันไม่มีคิวหรอก ไม่ต้องไปห่วง เราทำของเรา เราทำของเราด้วยความชำนาญของเรา คนที่ภาวนาเป็นเห็นไหม คราวนี้กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิบางทีทำความสงบได้ง่ายขึ้น บางทีทำแล้วคราวนี้มันไม่ได้ มันรู้เลยล่ะ มันรู้เลยว่าอารมณ์กระทบมันเป็นอย่างใด

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่จะประพฤติปฏิบัติ ท่านถึงพยายามหลีกเร้น ท่านถึงพยายามอยู่กับความสงบของเรา ท่านจะไม่รับรู้สิ่งใด มันข่าวของคนอื่น มันเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เรื่องของเราเราจะรักษาดูแลหัวใจของเรา มันเรื่องของเขา แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของพระล่ะ เรื่องของสงฆ์ล่ะ ถ้าเรื่องของสงฆ์เป็นหน้าที่ หน้าที่เราก็ทำหน้าที่ของเรา สิ่งใดที่เป็นหน้าที่เราอยู่ด้วยกัน เราต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ขับเคลื่อนไปพร้อมกันมันจะเกิดความสมานสามัคคี เกิดความสมดุล เกิดความดีงามเห็นไหม มันไม่ขัดแย้งกัน

ถ้าไม่ขัดแย้งกันเราจะไปภาวนามันก็ง่ายขึ้น ไปภาวนามันก็สะดวกขึ้น ถ้ามันเป็นหน้าที่ก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของเรา มันเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่เอามาให้จิตใจเราฟูหรอก เพราะเราจะดูแลหัวใจของเราเห็นไหม คนที่ปฏิบัติ เวลาเขาปฏิบัติเขาจะรักษาตัวเขา เขาจะรักษาตรงนี้ เขาจะไม่ทำให้จิตใจมันฟูขึ้นมา แล้วเวลาเราเข้าทางจงกรม เราจะไปนั่งสมาธิ เวลาเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันง่ายขึ้น มันดีขึ้น มันสะดวกขึ้น แล้วมันสะดวกขึ้นเห็นไหม

เวลาสมบัติ เราหาสมบัติสิ่งใดมาโดยของที่ดาษดื่นโดยทั่วไปทุกคนก็หาได้ แต่เวลาเราจะหาสมบัติที่เป็นเพชรนิลจินดา สมบัติที่มีคุณค่า นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน เขาก็ทำไปทางโลกของเขา แต่เวลาเราแสวงหาหัวใจของเรา เราได้ของเรานะ เพชรนิลจินดาเห็นไหม ดูสิ ไก่ได้พลอยๆ ไก่มันได้พลอยมามันไม่เห็นคุณค่า มันต้องการข้าวเปลือกเมล็ดเดียวเท่านั้นล่ะ ขอเอาพลอยแลกกับข้าวเปลือก เพราะมันไม่เห็นคุณค่าเห็นไหม โลกเขาบอกว่าทำหน้าที่การงานกัน เขามีคนสรรเสริญกัน เขาทำประชาสัมพันธ์กัน ยกย่องสรรเสริญกัน เขาว่าเขามีชื่อเสียง เขาก็ทำกันแบบนั้น

ทำแบบนั้นมันเรื่องโลกๆ มันเรื่องดาษดื่นน่ะ แต่ของเราหลีกเร้น เราอยู่ในป่า เราอยู่ตรงโคนต้นไม้ เราพยายามปฏิบัติของเรา แต่ถ้าเราเจอเพชรนิลจินดา เราไม่ใช่ไก่ได้พลอย เราเป็นคน เราเป็นคน เรามีสติปัญญา ถ้าเราได้ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าเพราะการมีคุณค่าอย่างนั้นมันถึงรักษาชีวิตของเราไง เพราะการมีคุณค่าอย่างนั้น พื้นฐานของมันเราถึงจะต้องตั้งสติ เราถึงตั้งสติแล้วพยายาม เรื่องของเขาเราจะไม่ไปกว้านมาเผาใจเรา เราจะรักษาใจของเรา เราจะไม่มากระทบกระเทือนใจของเรา เรารักษาพื้นฐานของเรา เวลาเราไปปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้นเห็นไหม เราปฏิบัติ เราจะทำสมาธิขึ้นมา เราก็ง่ายขึ้น

แล้วเวลาเราจะออกวิปัสสนา เรายกขึ้นสู่วิปัสสนามันเดินได้เลย ถ้าจิตมันสงบอยู่แล้ว มันจับต้องได้แล้ว เวลาเราเริ่มทำความสงบของใจเข้ามา น้อมไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม มันได้ทันที คนเรานะถ้ามันพิจารณากายมันจับกายได้ ถ้ากำลังเดินปัญญาอยู่มันทำต่อเนื่องได้เลย พอทำต่อเนื่องได้ถ้ามันไปแล้วมันหลุดไม้หลุดมือ มันแบบว่ามันทำแล้วมันไม่ก้าวหน้า ทำแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ กลับมาพุทโธเลย ปล่อยวางแล้วกลับมาพุทโธ

ถ้าคนยังไม่เคยผิดมันยังก้าวเดินไม่เป็น คนเรามันต้องผิดก่อน ทำแล้วมันทำไปไม่ได้ ทำไปไม่ได้มันเพราะเหตุใด แล้วมีครูบาอาจารย์บอกมันก็ไม่เชื่อ มีหมู่คณะคอยเตือนมันก็ไม่เชื่อ มันก็ไปทำของมันไปก่อน พอทำไปก่อนมันก็เสื่อมหมด พอเสื่อมหมดแล้วนะมันก็หน้าเศร้าหมอง พอทำเสื่อมหมดแล้วมันก็มีความทุกข์ แล้วมันจะเริ่มต้นอย่างไรล่ะ มันก็ต้องกลับมาตรงนี้แหละ เริ่มต้นมันก็กลับมาสู่ความสงบของใจเท่านั้นแหละ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไปอย่างอื่นเห็นไหม เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปอย่างอื่นก็เรื่องของเขา เรื่องของความคิด เรื่องของสังขาร เรื่องขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรื่องของจิต เรื่องของจิตคือจิตสงบไง เรื่องของจิตคือเรื่องของเรา เรื่องของขันธ์ ๕ ก็เรื่องของโลก เรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณคืออารมณ์ความรู้สึก สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง แล้วขันธ์ ๕ มันเกิดจากไหน เกิดจากจิต ขันธ์ ๕ มันเกิดจากจิตนะ เราเป็นมนุษย์เราถึงมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เราเกิดเป็นพรหมมีขันธ์เดียว ไม่มีขันธ์ ๕ เอ้า ความคิดไม่มี พรหมไม่มีความคิด แล้วขันธ์ไปไหนล่ะ

ถ้ามันเป็นเรื่องของขันธ์ เรื่องของขันธ์คือเรื่องสิ่งที่ประจำโลกนี้ มันไม่ใช่เรื่องของจิต ถ้าเรื่องของจิตนะ ถ้ามันเรื่องของขันธ์ เรื่องของความฟุ้งซ่าน เรื่องของความทุกข์ ความเสียใจ เรื่องของขันธ์ ถ้าเราจะเอาความจริงเราต้องกลับมาพุทโธ กลับมาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามามันก็สู่จิตของเรา ถ้าสู่จิตของเราน่ะ จิตมันมีกำลังของมัน มันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันก็ไปต่อมันได้เห็นไหม มันเป็นข้อเท็จจริง มันไม่มีคิวหรอก มันไม่มีคิว

แต่ถ้ามันเป็นการผิดคิด ผิดคิวมันก็ผิดการประพฤติปฏิบัติตามคิวนั้น ศึกษานี่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์มันก็เหมือนกับเรียงลำดับ ก็เหมือนคิวนี่แหละ ต้องทำอย่างนั้นๆๆ เราก็พยายามทำของเรา แต่เวลาเราไปทำจริงๆ แล้ว ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาศีล สมาธิ ปัญญา เรามีความปกติของใจ มีศีล พอมีศีลมันก็มีความอบอุ่นนะ ถ้ามีศีลเรามีความองอาจกล้าหาญ แต่ถ้าเรามีอะไรผิด ผิดในใจเห็นไหม มันเศร้าหมอง ทำอะไรผิดไว้มันกลัวเขารู้ ยิ่งมานั่งภาวนาด้วย มันยิ่งนั่นแน่ นั่นแน่อยู่นั่นล่ะ

ความลับไม่มีในโลก ถ้ามันมีศีล เราไม่แน่ใจปลงอาบัติซะ ปลงอาบัติเลย ปลงอาบัติคือการประจานความผิดของตัว ใครทำสิ่งใดผิดแล้วประจานมันซะ ประจานเลยว่าฉันทำผิดๆ แล้วสาธุ สุฏฐุ จะไม่ทำอีกๆ สาธุ สุฏฐุ คือว่าจะตั้งสติ นี่สาธุ สุฏฐุ เห็นไหม ถ้ามันไม่แน่ใจปลงอาบัติซะ แล้วถ้าอาบัติหนัก อาบัติหนักก็ต้องเข้าอยู่กรรมเพื่อจะเดินหน้าต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็สุมขอนอยู่นี่ นี่พูดถึงว่าศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีลแล้วเป็นปกติแล้วมันองอาจกล้าหาญ จะเข้าสังคมไหนก็ได้ ถ้ามีศีลเห็นไหม มีสมาธิ สมาธิคือสงบแล้วทำสมาธิได้ ทำสมาธิได้นะ ถ้ามีสมาธิมันมีความเชื่อมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเชื่อมั่นจริงๆ นะ เนี่ยเวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เราละล้าละลัง มันมีอยู่จริงเหรอ เนี่ยครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมันได้จริงเหรอ ถ้าได้จริงทำไมเขาสำมะเลเทเมากันในสังคมสงฆ์ ทำไมมันสำมะเลเทเมาขนาดนั้น

ไอ้นั้นมันผิดคิว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พยากรณ์เรื่องมรรค ผล นิพพานนะ แต่พยากรณ์บอกแต่ธรรมวินัย ธรรมวินัยคือวิธีการ แต่ถ้าเป็นมรรคผล มรรคผลผู้รู้เขาคุยกัน แต่เวลารากฐานเห็นไหม พระพุทธเจ้าวางธรรมและวินัย นี่เวลายืนยัน ยืนยันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ “ปัญจวัคคีย์ เราไม่เคยได้ เราภาวนาไม่ได้ เราก็ไม่เคยบอก ตอนนี้ได้แล้วนี่ กิจจญาณ สัจจญาณ มันกลางหัวใจ เงี่ยหูลงฟัง”

เนี่ยมันข่มขี่กิเลสไง ข่มขี่ของคนที่เกิดทิฏฐิมานะ ให้เขาเปิดหัวใจเพื่อฟังธรรมอันนี้ เพื่อประพฤติปฏิบัติตามความจริงอันนั้น นั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของครูบาอาจารย์ของเรา ฉะนั้นสิ่งที่เขาไปฟังมาๆ แล้วเขาพยายามสร้างภาพขึ้นมา ให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นไง เนี่ยมันผิดคิวไง ผิดคิวก็มันเป็นสมบัติของคนอื่น ตัวเองมันไม่มี มันถึงสำมะเลเทเมาอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ท่านมีชื่อเสียง มีกิตติศัพท์กิตติคุณ กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม คนเชื่อถือศรัทธาเพราะว่าคุณธรรมของท่าน คุณธรรมของท่าน คุณธรรมในใจ แต่คุณธรรมในใจแล้วมันมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นไหม ถึงอยู่ในศีลไง

ดูสิดูพระกัสสปะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“กัสสปะเอย เธอก็อายุ ๘๐เหมือนเรา ทำไมเธอต้องถือผ้าบังสกุล เนี่ยสังฆาฯ ปะถึง ๗ ชั้น ๘ ชั้น เธอทำเพื่ออะไร เธอเป็นพระอรหันต์”

“ข้าพเจ้าทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง อนุชนต่อไปได้เป็นคติ ได้เป็นแบบอย่าง”

พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่ต้องทำอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “เธอแก่ป่านนี้แล้ว เธอก็สิ้นกิเลสแล้วทำไมต้องมาถือศีลถือข้อวัตรปฏิบัติขนาดนี้”

นี่เหมือนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านทำของท่านท่านมีความสุขของท่าน ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน ไอ้เรื่องความอุดมสมบูรณ์ในลาภสักการะ เรื่องอุดมสมบูรณ์ในปัจจัยเครื่องอาศัย ท่านไม่สนใจเลย ครูบาอาจารย์เราท่านไม่สนใจ แต่นี่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีลาภสักการะขึ้นมาก็ทำเพื่อประโยชน์กับโลก นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาไว้ทำประโยชน์กับโลก ไม่ใช่ประโยชน์กับตัวท่าน ตัวท่านมีอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องสมบัติสาธารณะ สมบัติของโลก

แต่เราเห็นไหม เราหลีกเร้น ดูโลกเขาซิ เวลาเขาต้องการประชาสัมพันธ์ เขาต้องการให้คนยอมรับสรรเสริญ พอเราอยู่กับป่ากับเขาเราค้นหาตัวเรา เราหาสัจจะหาความจริง เราหาความจริงในใจนี้ ในใจนี้มีคุณค่า เราไม่ใช่ไก่ได้พลอย อยากมีพลอย เป็นไก่มันกินไม่ได้ ไก่มันอยากได้ข้าวสาร ไอ้ของเราเราเป็นมนุษย์นะ เรามีสติสัมปชัญญะ เรามาบวชเป็นพระๆ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร

ดูซิ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ดูชีวิตๆ หนึ่งเห็นไหม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวลาเกิดขึ้นมาเห็นไหม ชีวิตทั้งชีวิตเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย บุรุษผู้รู้โง่เขลาถือดุ้นไฟคนละดุ้น แล้วก็มีมาคร่ำครวญว่าร้อน ร้อน ร้อน แล้วมันถือดุ้นไฟอยู่นั่นน่ะ มันก็โง่อยู่นั่นน่ะ คราวหนึ่งมีบุคคลมีสัตตบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ฉลาด ได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว แล้วออกมาประกาศให้ชาวโลกให้ทิ้งดุ้นไฟนั้นซะ ดุ้นไฟนั้นนะ ดุ้นไฟที่ถืออยู่นั่นนะ คบเพลิงที่ถืออยู่นั่นให้สลัดทิ้งซะ ถือคบเพลิงอยู่แล้วก็บ่นกันว่าร้อน ร้อน แล้วถืออยู่นั่นน่ะ

นี่เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจไง มันเผาลนไง ถ้ามันเผาลน มันก็บ่นว่าร้อน ร้อน ร้อนไง บุรุษผู้ฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ค้นพบธรรมะนี้ก่อน ได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว แล้วมาบอกพวกเราให้ทิ้ง ให้ทิ้งเนี่ย แล้วเราก็ถืออยู่ทิ้งไม่เป็น ทิ้งไม่ได้ ถืออยู่เนี่ย มันเป็นตัณหาความทะยานอยากที่มันติดมากับใจ ทิ้งไม่ได้ ทิ้งไม่เป็น พอทิ้งไม่ได้ ทิ้งไม่เป็น เวลาศึกษาธรรมะขึ้นมาเห็นไหม ผิดคิว พอผิดคิวขึ้นมามันก็มีปัญหาล่ะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์เราไม่ให้ผิดคิว เริ่มต้นทำความสงบใจเข้ามา ใจต้องสงบก่อน พอใจสงบขึ้นมาแล้วมันแยกแยะได้ มันแยกแยะอะไรควรและไม่ควร เวลาจะทำความสงบ พุทโธ กับที่จิตมันแฉลบออกไปคิดเรื่องอื่น ทำไมเอาไม่อยู่ แค่ทำความสงบของใจ ถ้าพุทโธได้ จิตมันอยู่กับพุทโธได้เห็นไหม มีคำบริกรรม มันแยกแยะได้ เอาเท่านี้แหละ เอาเท่านี้ พื้นฐานเบสิกมีเท่านี้ ทำความสงบของใจเข้ามา ใช้ปัญญาอมรมสมาธิเข้ามา

พอจิตมันสงบมันแยกแยะได้ ระหว่างจิตฟุ้งซ่านกับจิตสงบมันแตกต่างกันยังไง แล้วถ้ามันยังยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ ถ้ามันอยู่อย่างนี้เดี๋ยวมันก็เสื่อม ถ้าเสื่อมมันต้องชำนาญในวสี ชำนาญในวสีนะ เราก็ต้องรักษา เรารักษา เราอยู่ในข้อวัตร เราอยู่ในศีลในธรรมของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องกันไป มันต้องเสื่อมเป็นธรรมดา สมาธิเจริญแล้วก็เสื่อม ทุกอย่างมันต้องเสื่อม มันมีดีมีเลวอยู่ในตัวนั้นตลอด เหรียญมี ๒ ด้านทั้งนั้น

ฉะนั้น เวลาถ้าจิตมันสงบแล้วมีความสุขแล้วเห็นไหม รสชาติ รสชาติของสมาธิธรรม มันเกิดมาจากใด ธรรมทั้งหลายมันเกิดมาแต่เหตุ เหตุที่เราจะทำให้เป็นสมาธิได้ เราเคยทำได้เห็นไหม เราต้องทำได้ เพราะเราทำมาเอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เพราะจิตมันเคยเป็น พอจิตมันเคยเป็น มันทำได้ ถ้าบอกทำไม่ได้ ทำไม่ได้มันก็กิเลสทั้งนั้น มันทำไม่ได้ ก็ทำมาแล้ว ของเราทำได้อยู่แล้ว มันจะทำไม่ได้อย่างไร ไอ้ที่ทำไม่ได้ก็มันขี้เกียจไง

ดูซิ เวลานักกีฬาที่มันลงแข่งขันเห็นไหม ถ้าซ้อมมาดี ทุกอย่างมาดี ถ้ามันลงแข่งขันมันชนะทั้งนั้น ถ้ามันไม่อยากซ้อม มันเบื่อหน่าย มันลัดคิว มันพยายามคิดเอาเอง เออเอง ขึ้นไปแพ้หมด นี่ก็เหมือนกันมันเคยทำได้ มันเคยทำได้ มันต้องทำได้ซิ พอทำได้แล้วขึ้นมานี่ เราชำนาญในวสี สมาธิมันจะเสื่อมไปไหน สมาธิไม่เสื่อมเห็นไหม มันจะเสื่อมอีกทีหนึ่งมันก็เสื่อมตอนที่ว่ากิเลสมันฟูขึ้นมานะ ถ้ากิเลสมันฟูขึ้นมานะ มันไม่มีอะไรดีไปสักอย่าง คนเราเวลาจิตตกนะ โลกนี้ไม่น่ารื่นรมย์เลย ไม่มีอะไรดีไปทั้งนั้นเลย มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลยนี่เวลาจิตมันตก

จิตมันตกแล้วเราพยายามสร้างบารมีของเราขึ้นมา ให้มันสดชื่นขึ้นมา ให้มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง พอจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา รำพึงไปที่กาย รำพึงไปที่เวทนา รำพึงไปที่จิตที่ธรรม เวลาทำสมาธิถ้าเราจับเราพิจารณาไม่ได้ เรานั่งสมาธิ นั่งสมาธิถ้าหลายชั่วโมงขึ้นมันเกิดเวทนาทั้งนั้น เพียงแต่จิตมันจะเฉลียวใจไหม เพราะเวทนาเห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม เวทนามันมี เวทนาคือความรู้สึกไง สุข ทุกข์ เวทนา ถ้ามันจับได้ พอจิตมันจับได้มันพิจารณาได้ เพียงแต่มันมีกับเรา แต่จิตมันไม่เฉลียวใจ มันอยู่กับเรานี่แหละ ของมันอยู่กับจิตนี่แหละ แต่มันไม่เฉลียวใจ มันไม่จับ มันก็ไม่จับมาวิปัสสนาไง ไม่จับมาเป็นเหตุ เป็นการฝึกปัญญาไง

แล้วบอกว่าปัญญาๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอย่างนั้นปัญญาส่งออก ปัญญาเกิดจากจิต ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดจากจิต เกิดจากจิตโดยอวิชชา เพราะอวิชชามันอยู่ที่จิตเห็นไหม มันเกิดจากจิต แล้วเกิดจากอวิชชา มันก็เป็นสมุทัย พอสมุทัยมันก็ไปกว้านเอาแต่พิษแต่ภัยมา แล้วก็ยังบอกว่าฉันภาวนาเก่ง ปัญญามันเกิดนะ นี่มันผิดคิวไง

ถ้ามันเป็นความจริงๆ เป็นความจริงจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเฉลียวใจเห็นไหม ถ้ามันจับปั๊บ เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม เวลามันออกมันออกอย่างนี้ มันออกมันก็ออกไปในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ออกไปหาผลประโยชน์ของมัน แต่ถ้าเรามีสมาธิขึ้นมา จิตเราสงบ จิตเห็นอาการของจิต มันก็เห็นขันธ์ ๕ พอมันจับได้มันก็ใช้ปัญญาวิปัสสนา วิปัสสนาปัญญาเป็นปัญญาแห่งความรู้แจ้ง รู้แจ้ง รู้ทะลุ รู้ปลอด รู้ทะลุปรุโปร่ง รู้เท่าทันอวิชชา รู้เท่าทันความเผลอไผล

ความเผลอไผล ความนอนใจ ความอนุสัยที่นอนไปกับมัน ของอยู่กับตัว อยู่กับเรานี่ มันเกิดกับใจ แต่ไม่เฉลียวใจ ไม่เคยจับมัน ไม่เคยเห็นมัน แต่พอมันจับ... ของอยู่กับเราแท้ๆ พอจับได้เห็นไหม จับได้ จิตเห็นอาการของจิต นี่สติปัฏฐาน ๔ จริงๆ จิตสงบแล้ว มีสติมีปัญญา มันจะทำของมัน เป็นประโยชน์กับมันขึ้นมา จิตไม่สงบ เวลาทำสิ่งใด ตรึกในธรรมมันเป็นการตรึกในธรรมไง มันเป็นธรรมะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นธรรมะ สาธารณะ มันไม่ใช่เป็นธรรมะของจิต ไม่ใช่เป็นธรรมะของจิตดวงนั้น

ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาเห็นไหม สมถกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงาน จิตดวงนั้นมีงานมีการกระทำ กิจจญาณ ถ้าจิตดวงนั้นไม่มีกิจจญาณ ไม่มีการกระทำ เราศึกษามา ศึกษานี่มันสัญญา ศึกษาเห็นไหมชุบมือเปิบ เราเกิดมาเป็นสาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟัง เราก็ไม่มาดำรงชีวิตแบบนี้ ที่เรามาดำรงชีวิตแบบนี้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นพระ เราบวชพระมา บวชพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ แล้วประเสริฐที่ไหน จิตใจเราประเสริฐไหม เราไว้ใจเราได้ไหม หัวใจเราไว้ใจมันได้ไหม หัวใจเรา เราไว้ใจมันบอกว่าฉันเป็นผู้ประเสริฐได้ไหม

ไอ้นี่มันอยู่ได้เพราะศีลนะ มันอยู่ได้เพราะข้อห้าม เราไม่กล้าทำอะไรเพราะเรากลัวผิดไง แต่เราไว้ใจไม่ได้ ถ้าเราไว้ใจไม่ได้ เราจะต้องรีบขวนขวายตบะธรรม เราต้องฝึกฝนของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ตบะ ตบะธรรมแผดเผากิเลส แผดเผาความที่ไว้ใจไม่ได้ ทำลายมัน ทำลายมัน นี่ทำลายมัน ตากแห้ง อย่างไม้ดิบๆ เห็นไหม ให้เป็นไม้แห้ง ไม้แห้งแล้วเอามาจุดไฟแล้วมันจะจุดไฟติด

ถ้าจุดไฟติด ไฟนั้นตบะเห็นไหม ตบะธรรม มันจะแผดเผากิเลส มันจะทำลายกิเลสเห็นไหม มันทำเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงของเรา เราไม่ทำด้วยทางโลกเขา ทางโลกเขาการประชาสัมพันธ์ เห็นไหมการแสดง เขาต้องมีคิวของเขา แล้วถ้าผิดคิวเขาก็ได้เลือดล่ะ ผิดคิวของเขา เขาทำสิ่งใดไม่ได้ ไอ้เราปฏิบัติผิดคิว ผิดคิวกลับหัวกลับหาง ทำอะไรแล้วก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

แต่ถ้ามันไม่ผิดคิว มันทำตามความจริงขึ้นมาเห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับอานนท์เห็นไหม พระอานนท์คร่ำครวญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว เมื่อไหร่ศาสนาจะหมดมรรคหมดผล”

“อานนท์ เราบอกเธอไว้แล้วเหรอ ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์”

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ให้มันสมควร เหมาะสม ดีงามเห็นไหม คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเหมาะสม ความดีงามของเราไง ให้เป็นสมดุลของเรา มัชฌิมาปฏิปทา ทำความจริงของเรา ความมุมานะของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง